กฎ 5 ข้อที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ “เรตินอล” หนึ่งในสกินแคร์แห่งยุค 2021 เพื่อผิวกระชับ สวย กระจ่างใส
เพื่อผิวสวย โกลว์ ใส นับแต่วันแรกที่ก้าวย่างสู่ความเป็นสาว เราเชื่อว่าคุณใช้หลากหลายเทคนิคในการดูแลผิวพรรณ ทั้งการเลือกใช้สกินแคร์ต่างๆ ที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแลความงามของสาวๆ ทุกคน วันนี้เรามีอีกหนึ่งสกินแคร์ที่อยากให้คุณได้รู้จัก เพราะคุณสมบัติของไอเท็มเด็ดตัวนี้ จะกลายเป็นฮีโร่แห่งความงามที่ช่วยดูแลริ้วรอย เติมความชุ่มชื่น ให้คุณอวดผิวหน้าโกลว์สวย กระจ่างใส และดูอ่อนวัยอยู่เสมอ
ไอเท็มที่เรากำลังพูดถึง หลายคนอาจจะคุ้นชื่อพอสมควร นั่นคือ “เรตินอล” สกินแคร์แห่งยุค 2021 โดย ดร. อัญชลี มาห์ทู ผู้ให้คำปรึกษาด้านผิวหนังจาก Skin55 และผู้เขียนหนังสือ The Skincare Bible (คัมภีร์การดูแลผิวพรรณ) กล่าวว่า “จากผลสำรวจพบว่า เรตินอลสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆ ให้ดูตื้นขึ้น กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวกระจ่างใสและเรียบเนียบมากขึ้น”
แต่สำหรับมือใหม่หัดใช้เรตินอล อาจจะยังสับสนงุนงงอยู่บ้าง อันเนื่องมาจากผลิตภันฑ์ที่มีให้เลือกหลายยี่ห้อที่ใช้เรตินอลเป็นส่วนผสมหรือใช้ชื่อเรียกที่แตกต่างกัน แต่ ดร.มาห์ทู อธิบายว่า “ชื่อเรียกที่แตกต่างกันนั้น มีจุดประสงค์เพื่อให้ง่ายต่อการจำแนกประเภทก็เพียงเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายแล้วเรตินอลทุกๆ ชนิด ที่คุณเคยเห็นมาล้วนแต่คือ ‘วิตามินเอ’ ทั้งสิ้น”
เพื่อให้เราใช้ชีวิตง่ายขึ้น เรามาทำความรู้จักกฏเหล็ก 5 ข้อเกี่ยวกับการเลือกใช้ ‘เรตินอล’ ให้ถูกวิธีกันดีกว่า
กฏข้อแรก: ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เรตินอลที่ระบุโดยแพทย์
ดังที่กล่าวไปเบื้องต้น เรตินอลคือวิตามินเอและอนุพันธ์ของวิตามินเอ ดร. เดเนียล ไอแซค ผอ. ฝ่ายวิจัยของ Medik8 กล่าวว่า มันเป็นเรื่องที่สร้างความสับสนงุนงงให้แก่ผู้คนได้ง่ายมาก เวลาแบรนด์ต่างๆ กล่าวว่า “ได้รับการทดลองและเป็นที่ไว้วางใจจากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณจากหลายสำนัก”
ซึ่งอาจหมายความได้ว่า แบรนด์เหล่านั้นได้ทำการทดสอบอย่างเข้มข้นจนได้ผลลัพท์ว่า เรตินอลชนิดนั้นได้ผลมากกว่าชนิดอื่นๆ จริง ดร. ไอแซคอธิบายว่า “เมื่อเราเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลกับผิวของเรา มันจะเกิดปฏิกิริยาขึ้นสองครั้งด้วยกัน ขั้นตอนแรกเรตินอลจะแปรสภาพกลายเป็นวิตามินแบบสเถียร และหลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นกรดวิตามินเอ ซึ่งผิวจะถูกดูดซึมไปใช้ฟื้นบำรุงตัวเองในที่สุด – ปฏิกิริยาดังกล่าวจะส่งผลให้ ผิวของคุณ ผลัดเปลี่ยนเซลล์ และเร่งการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งสวยงาม อย่างที่คุณๆ คงเคยได้ยินกัน”
แต่ในความจริงแล้ว ยังมีเรตินอลอีกหลายรูปแบบที่คุณต้องทำความรู้จักเช่นเดียวกัน อย่างเช่น เรตินอลดีไฮด์ ซึ่งเป็นเรตินอลรุ่นใหม่ที่เมื่อใช้แล้วจะเห็นผลเร็วขึ้นกว่าเดิม 11 เท่า โดยมีคุณสมบัติที่ช่วยในการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวอย่างรวดเร็ว เสริมสร้างการผลิตคอลลาเจน ทั้งยังช่วยชะล้างแบคทีเรีย และเชื้อโรคต่างๆ (ซึ่งเป็นผลพลอยได้สำหรับผู้มีสิวอีกด้วย) ซึ่งเรตินอลดีไฮด์มีจำหน่ายโดยแบรนด์ Medik8’s Crystal Retinal ดีพอๆกับเรตินอลที่แพทย์มืออาชีพแนะนำ
นอกจากนี้ ยังมีเรตินิลชนิดเสถียร (Retinyl Retinoate) ซึ่งเป็นสูตรไฮบริทที่เพิ่มเรตินอลและกรดวิตามินเอลงไป ช่วยลดความเสื่อมสภาพของผิวและยังไม่ทำให้ผิวระคายเคืองจากกรดวิตามินเออีกด้วย ซึ่งเพิ่มความสามารถในการลดริ้วรอยและเพิ่มความสามารถในการผลิตคอลลาเจนได้มากกว่าเรตินอลปกติถึงแปดเท่า ที่พิเศษกว่านั้นคือสูตรนี้สามารถป้องกันแสงแดดได้ สาวๆ จึงสามารถใช้สูตรนี้ได้ทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน
เช่นเดียวกับ Pro-Retinol Complex ที่คิดค้นโดยแพทย์ผิวหนัง ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์ ProX Dermatological Intensive Wrinkle Fading Serum ที่ตรงเข้าจัดการต้นเหตุของริ้วรอยและร่องลึก มีประสิทธิภาพสูงกว่าโปร-เรตินอลทั่วไปถึง 1.4 เท่า ผ่านการวิจัยด้วยระบบ Genomics มากว่า 20 ปี จึงได้รับการแนะนำจากแพทย์ผิวหนังกว่า 1,000 คนในอเมริกา นำมาผสมผสานกับส่วนผสมที่เป็นเอกลักษณ์ของ ProX by Olay อย่าง ‘วิตามินบี 3’ หรือ ‘ไนอาซินาไมด์’ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของ ProX ช่วยลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก มีส่วนผสมจากสารสกัดจากแครอบ เพื่อบูสต์ประสิทธิภาพการดูแลผิวหน้าอย่างล้ำลึก ปราศจากส่วนผสมของน้ำหอมและสารแต่งสี
Pro-Retinol Complex เป็นส่วนผสมเอกสิทธิ์ใน ProX Dermatological Intensive Wrinkle Fading Serum เซรั่มเวชสำอางเนื้อสัมผัสบางเบา ซึมเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ตรงเข้าจัดการกับริ้วรอยและร่องลึกที่ต้นเหตุ จึงช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึกแก้ยากได้ถึง 20% ใน 28 วัน* (ผ่านการพิสูจน์ทางคลินิกโดยแพทย์ผิวหนัง) ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน ริ้วรอยร่องลึกดูลดเลือน ผิวกระจ่างใส และอ่อนเยาว์
กฏข้อที่สอง: ต้องเลือกเปอร์เซนต์ของเรตินอลให้เป็น!
หลังจากเลือกชนิดของเรตินอลเรียบร้อยแล้ว คุณต้องพิจารณาเปอร์เซ็นต์ความเข้มข้นของแบรนด์ที่เลือกใช้ด้วย หากคุณตั้งใจใช้เรตินอลธรรมดา ดร. อัญชลี มาห์ทู แนะนำว่า ให้เริ่มจากแบรนด์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลประมาณ 0.1% ก่อน ขณะที่ ดร. เดเนียล ไอแซค แนะนำให้เริ่มต้นที่ 0.2%
ซึ่งอันที่จริงแล้ว การเลือกใช้ความเข้มข้นของเรตินอลนั้นขึ้นอยู่กับผิวหน้าของคุณด้วย ดร.ไอแซค กล่าวเสริมว่า “ตัวเลือกที่แนะนำคือผลิตภัณฑ์ที่มีสรรพคุณแบบ time-release จะช่วยให้วิตามินเอค่อยๆ ซึมซาบลงสู่ผิวของคุณอย่างช้าๆ ลดอัตราเสี่ยงของการแพ้ ระคายเคือง หรือการคันที่อาจเกิดขึ้นได้”
Cr. www.allure.com
กฏข้อที่สาม: ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
ดร. มาห์ทูแนะนำว่า “อาการคันอาจเกิดขึ้นได้หากคุณเพิ่งเริ่มต้นใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกเรตินอลใหม่ๆ ดังนั้น คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์สัปดาห์ละหนึ่งถึงสองครั้งก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณมากขึ้น” และเมื่อผิวหน้าของคุณคุ้นชินและปรับสภาพเข้ากับวิตามินเอแล้ว จึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณได้ โดยการเลือกใช้เรตินอลที่มีความเข้มข้นสูงขึ้น
ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ลดความระคายเคืองได้ นั่นคือการทาผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวหน้าประมาณ 20 นาที ก่อนจะใช้ผลิตภัณฑ์เรตินอล ซึ่งจะช่วยลดความคัน ผิวแตก ผิวแห้ง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการใช้วิตามินเอ
Cr. www.allure.com
กฏข้อที่สี่: อย่าคาดหวังผลลัพธ์แบบข้ามคืน
เฉกเช่นทุกๆ เรื่องในชีวิตของเรา คุณจำเป็นต้องรอเพื่อให้มันได้ผล ซึ่งบางครั้งอาจต้องใช้เวลานานถึง 3 เดือนจึงจะเห็นผลชัดขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง (แม้ว่าจากคำยืนยันของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จะบอกว่าใช้เวลา นานกว่านั้นก็ตาม) แต่ไม่ว่าจะต้องรอนานแค่ไหนผลลัพท์ก็ย่อมคุ้มค่าเสมอ
Cr. www.allure.com
กฏข้อที่ 5: ป้องกันอีกชั้นด้วย SPF
สิ่งที่หลายคนทำผิดพลาดบ่อยที่สุด นั่นก็คือการใช้เรตินอลตอนกลางคืน แต่กลับไม่ปกป้องชั้นผิวในตอนกลางวันด้วย SPF (ซึ่งจริงๆ แล้วคุณเองก็ควรทาครีมกันแดดทุกวันเช่นกัน) เพราะการไม่ปกป้องชั้นผิวด้วย SPF นั้น ส่งผลโดยตรงให้ชั้นผิวของเราเสื่อมสภาพ ดังนั้น การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงจึงสำคัญอย่างมากในการช่วยทำให้เรตินอลเห็นผลไวขึ้น
Reference
Image credit
www.thezoereport.com
เรียบเรียงโดย นัฎทยา เวชสิทธิ์
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ถึงกองบรรณาธิการ : pr.fyibangkok@gmail.com โทรศัพท์ : 096 449 9516