Now Reading
‘A Journey’ เดินทางผ่านภาพถ่ายในนิทรรศการของสองพี่น้อง ณัฐ-สิวิกา ประกอบสันติสุข

‘A Journey’ เดินทางผ่านภาพถ่ายในนิทรรศการของสองพี่น้อง ณัฐ-สิวิกา ประกอบสันติสุข

นิทรรศการที่จะพาคุณออกเดินทางไปสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ ในดินแดนอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก ข้ามผ่านทะเลทรายสู่มหานครหินมหัศจรรย์แห่งเปตรา จินตนาการถึงเสียงสวดมนต์ในถ้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งเอลโลรา เข้าถึงปรัชญาของชีวิตไปกับลายน้ำบนผืนทรายที่สร้างสรรค์โดยธรรมชาติ เคารพในความแตกต่างและความหลากหลายของผู้คน ผ่านภาพถ่ายของสองพี่น้องนักเดินทางและช่างภาพแฟชั่นชื่อดังของประเทศไทย

เมื่อผลักประตูกระจกบานใหญ่เข้าไปในแกลเลอรีสีน้ำเงินสด คุณจะพบห้องโถงสีขาวตัดกับเสาไม้สีน้ำตาลเข้มของ Play Art House แกลเลอรีดีไซน์เท่บนถนนทรงวาด ที่อนุรักษ์ความเป็นห้องแถวของชาวจีนเข้ากับความร่วมสมัยได้อย่างลงตัว ทั้งยังเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายของ คุณสิวิกา ประกอบสันติสุข (ก้อย) นักเขียนสายท่องเที่ยวมากประสบการณ์ และ คุณณัฐ ประกอบสันติสุข ช่างภาพแฟชั่นชื่อดังของไทย ที่จะชวนคุณร่วมออกเดินทางค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ข้างหลังภาพถ่ายในนิทรรศการ ‘A Journey’

A Journey of a Thousand Miles

ช่วงเวลาที่ลมหนาวมาเยือนในเดือนธันวาคมของทุกปี คุณก้อย คุณณัฐ และคุณเป้แฟนของคุณณัฐ จะปักหมุดหมายไปยังประเทศในฝันที่หลายคนได้แต่จินตนาการ สำหรับนักเขียนที่เดินทางมาหลายประเทศทั่วโลก จะมีสิ่งใดที่ทำให้เธอมีความสุขไปกว่า การได้ใช้เวลาอยู่กับสถานที่ในฝันให้นานพอที่จะซึมซับจังหวะชีวิตของผู้คน วัฒนธรรม ความเชื่อ และศรัทธา เพื่อเข้าถึงประสบการณ์ล้ำค่าที่ยากจะค้นพบได้จากการท่องเที่ยวทั่วไป

“ถ้าไม่นับการเดินทางเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกปีเราจะวางแผนเที่ยวทริปใหญ่ประมาณหนึ่งครั้ง เราจะเลือกเพียงประเทศเดียวเท่านั้น เที่ยวคราวละ 3-4 เมือง ๆ ละหลายวัน เพราะเราอยาก enjoy กับการใช้ชีวิตในเมือง นั้น มากกว่าการไปเที่ยวตามแลนด์มาร์คต่าง ๆ เพียงอย่างเดียว เราชอบนั่งคาเฟ่ เดินตลาดแทบทุกวัน เพราะตลาดสะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนได้อย่างดี ซึ่งภาพถ่ายที่ได้จากการเดินทางมันจุดประกายให้เราอยากลุกขึ้นมาจัดแสดงเป็นนิทรรศการ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนอยากเดินทางไปท่องเที่ยวอีกครั้ง และเราเชื่อว่าหลายคนคิดถึงการเดินทางในช่วงเวลาโควิด-19   

“เราเลยคุยกับพี่ณัฐว่า อยากทำนิทรรศการ ‘Journey’ โดยตีความคำ ๆ นี้ว่า “การเดินทางไปสู่จุดหมาย” ทุกรูปที่นำมาจัดแสดงจึงเป็นการนำภาพสถานที่และการเดินทางมาวางต่อกันเหมือนเฟรมเดียวกัน เพราะเราต้องการจะสื่อว่า ทุกการเดินทางไปสู่จุดหมายย่อมมีเรื่องราวระหว่างทาง ทั้งประสบการณ์ในการเดินทาง ความยากลำบาก ความสุข ความตื่นเต้น และความประทับใจ”

นอกจากความสวยงามของภาพถ่ายเชิงสารคดีฝีมือของคุณก้อย จะดึงดูดเราให้ใช้เวลาพิจารณาผู้คนจนถึงสถานที่ในภาพถ่ายราวกับต้องมนต์ อีกทั้งเรื่องราวข้างหลังภาพที่เธอเล่าให้ฟังยังเปี่ยมด้วยความหมาย และความทรงจำชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน

“ภาพถ้ำเอลโลรา (Ellora) รัฐมหาราษฎระ อินเดีย ที่นี่จะมีถ้ำหลายแห่งที่รวมความเชื่อของ 3 ศาสนาไว้ในที่เดียวคือ พุทธ ฮินดู และเชน เช้าตรู่วันหนึ่งเราไปถ้ำเอลโลราตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยว จังหวะที่เข้าไปในถ้ำพุทธก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ภาษาบาลีก้องกังวาลไปทั่ว เป็นจังหวะเดียวกับพี่ณัฐเข้ามาภายในถ้ำพอดี จากที่พี่ณัฐไม่ได้อินกับเรื่องศาสนามากเท่าไหร่ แต่พอออกจากถ้ำพี่ณัฐบอกกับเราว่า เขาจะบวชเพราะเกิดปิติและศรัทธา แล้วเขาก็บวชจริง ๆ ทำให้เรารู้สึกประทับใจอย่างมาก ความหมายของภาพนี้เราจึงตั้งใจสื่อถึงการค้นพบแสงสว่างในชีวิต หลังได้สัมผัสพลังแห่งศรัทธาที่ได้จากการเดินทางไปถ้ำเอลโลรา”

นอกจากการเดินทางจะมอบประสบการณ์ชีวิตที่คุ้มค่า ความสุข ความสนุกสนาน ความประทับใจ และทำให้ตระหนักถึงการเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรม ทั้งยังเปลี่ยนมุมมองความคิดที่มีต่อผู้คนในบางประเทศไปตลอดกาล

“ก่อนไปกัวเตมาลา (อเมริกากลาง) เราอาจจะนึกถึงความยากจนมาเป็นอันดับแรก ๆ แต่พอไปถึงเรากลับพบว่า ชาวกัวเตมาลามีความศิวิไลซ์ในแง่ของมารยาททางสังคมและมีสุขอนามัยที่ดี ก่อนไปเที่ยวอิหร่านเรามักจะได้ยินคนพูดกันว่า เป็นประเทศที่น่ากลัว แต่ตลอดการเดินทางเราพบเจอแต่สิ่งดี ๆ อย่างคนขายขนมปังเอาขนมปังร้อน ๆ มาให้ เพราะเขาคงคิดว่า เราเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่มีเงิน ไม่สามารถสื่อสารในการซื้อขนมปังของเขาได้ ในขณะที่เรากลับคิดไม่ดีต่าง ๆ นานา สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนมุมมองความคิดของเราไปเลย

“ส่วนตัวมองว่า การเดินทางทำให้เราค้นพบความหมายและทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น เพราะแท้จริงแล้วเราก็เป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้สำคัญต่อโลกใบนี้เท่าที่เราคิด ยังมีอะไรอีกมากมายที่รอให้เราค้นพบเพื่อเข้าใจความหลากหลายของวัฒนธรรมและผู้คน เราแค่อยากแบ่งปันประสบการณ์และกระตุ้นให้คนอยากออกเดินทางเพื่อค้นพบบางสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า และต้องการจะสื่อว่าการเดินทางไม่ยากอย่างที่คิด”

A Journey of Life

เกือบทั้งหมดของรูปถ่ายขาว-ดำบนผนังสีขาว เต็มไปด้วยลวดลายที่ดูเผินคล้ายกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ผิดก็แต่มันเป็นภาพลวดลายบนผืนทรายที่ปราศจากการเหยียบย่ำและรอยเท้าของผู้คน ในช่วงเวลาที่โควิด-19 ส่งผลให้การท่องเที่ยวเงียบเหงาถนัดตา หาดทรายยามเช้าจึงเปรียบเสมือนผืนผ้าใบธรรมชาติขนาดมหึมา ที่มีเกลียวคลื่นเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะให้ความรู้สึกเหมือนการเดินทางของชีวิต

“ช่วงนั้นเราไปพักผ่อนที่โรงแรมรายาวดีแล้วไม่มีคนเข้าพักเลย ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติลวดลายเหล่านี้ก็คงจะโดนเหยียบย่ำไปจนหมด แต่เช้านั้นเราตื่นมาเห็นลวดลายธรรมชาติที่ทะเลและผืนทรายสร้างสรรค์ขึ้นมา ให้ความรู้สึกเหมือนเส้นทางชีวิตของคนเราที่ต้องพบเจออุปสรรคมากมาย แม้จะเจอบททดสอบเดียวกันแต่การตัดสินใจและการกระทำของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันก็เหมือนลวดลายบนผืนทรายที่แตกกิ่งก้านสาขาออกไปคนละทิศทาง เปรียบเสมือนการที่คนเรามีทางเดินชีวิตในแบบของตัวเอง”

ความหมายของ ‘A Journey’ สำหรับคุณณัฐ จึงเปรียบเสมือนการเดินทางเพื่อพบเจอความหมายของชีวิต ผ่านผู้คน ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ธรรมชาติ จนถึงสรรพสิ่งรอบตัวที่เขาสัมผัสได้ระหว่างการเดินทาง  

“หลายครั้งที่การเดินทางทำให้เราเข้าใจมุมมองชีวิตและเคารพในตัวตนของผู้อื่นมากขึ้น เพราะวิธีการที่คนเราตอบสนองต่อความฝันและความหวังย่อมแตกต่างกันไป ในเมื่อเราต้องการการยอมรับจากคนอื่น เราก็ต้องเคารพตัวตน ความคิด ความฝัน และการใช้ชีวิตของเขาด้วยเช่นกัน เราจึงนำภาพถ่ายเหล่านี้มาจัดแสดงนิทรรศการ เพื่อสื่อให้เห็นถึงการเดินทางของชีวิตที่แตกต่างกัน เหมือนน้ำทะเลที่ไหลผ่านผืนทราย

“อย่างภาพพระแม่มารีไม้แกะสลักในโบสถ์ที่กัวเตมาลา เรานำมาเปรียบ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนต่างมี ‘อีโก้’ ที่เปรียบเสมือนกลไกปกป้องตัวเอง เวลาใครมาวิจารณ์ทำให้เรารู้สึกโกรธ เพราะตัวตนข้างในเราสั่นคลอน เราจึงเปรียบอีโก้หรือ ‘อัตตา’ กับพระแม่มารีองค์นี้ สังเกตว่าดวงตาข้างหนึ่งของพระองค์หายไป เปรียบเสมือนเวลาที่เราเกิดอัตตาขึ้นมาจะทำให้เรามืดบอดและมองไม่เห็นเหตุผลที่อยู่ตรงหน้า เพราะเราต้องการต่อต้านคำวิจารณ์จากคนอื่น เพื่อปกป้องอัตตาที่สั่นกระเพื่อมอยู่ภายในใจ”

ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งนอกเหนือจากภาพถ่ายขาว-ดำบนผนังสีขาว ที่สะท้อนหลักปรัชญาและมุมมองของชีวิตผ่านธรรมชาติและการเดินทาง นั่นคือคำคมของ Jorge Luis Borges กวีและนักเขียนเรื่องสั้นชื่อดังชาวอาร์เจนตินา ที่คุณณัฐชื่นชอบและนำมาบอกเล่าแรงบันดาลใจในการจัดแสดงนิทรรศการในครั้งนี้

“เราชอบบทกวีนี้มาก ๆ Jorge บอกว่า “ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่า จริง ๆ แล้วข้าพเจ้ามีตัวตนหรือไม่ เพราะตัวตนของข้าพเจ้าเกิดจากผู้คนที่พบเจอและหนังสือที่อ่าน” เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบกับชีวิตของเรา มันหล่อหลอมให้เกิดเป็นตัวตนของเราขึ้นมา ช่วงเวลาในการค้นพบตัวตนของเราก็แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุ ดังนั้น ไม่ต้องกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หรือเมื่ออยู่ท่ามกลางปัญหาก็อย่ากังวลว่าจะหาทางออกมาไม่ได้ แม้แต่อีโก้ก็มีข้อดีในตัวเอง ถ้าเรายอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวเองได้ มันจะนำพาเราไปสู่การค้นพบตัวตนภายใน ขณะเดียวกันเราก็ต้องยอมรับตัวตนของคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน”

A Journey จึงเป็นเหมือนนิทรรศการภาพถ่ายของสองพี่น้อง ที่ชวนให้คุณอยากเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ในดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลก พร้อมกับการเดินทางสำรวจภายในจิตใจของตัวเอง

A Journey

ชมนิทรรศการได้ที่ Play art house ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2565 เปิดให้เข้าชมวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00 – 16.00 น. และวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 11.00 – 18.00 น. หรือคลิกเข้าไปดูเส้นทางการเดินทาง ที่จอดรถ และติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ >> https://www.facebook.com/playarthouse  

กดติดตามเราได้ที่

website       :        www.fyibangkok.com

facebook     :        

instagram    :        

twitter         :

youtube       :

ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ถึงกองบรรณาธิการ : pr.fyibangkok@gmail.com 
โทรศัพท์ 096 449 9516

รัสรินทร์ สุนทรกมลรัศมิ์

สมัชชา อภัยสุวรรณ
Latest posts by สมัชชา อภัยสุวรรณ (see all)