Horse Unit ร้านวินเทจสไตล์ Military กับสิ่งของที่เฝ้ารอใครบางคน
เคยได้ยินมั้ยว่า สิ่งของบางอย่างมักจะเฝ้ารอใครบางคน วินเทจสโตร์ขนาดใหญ่ในโกดังหมายเลข 4 ของ Warehouse 30 จะชวนคุณย้อนเวลาค้นหาสิ่งของบางอย่าง ที่คุณรู้สึกผูกพันมาแสนนาน ผ่านการสัมผัส จับต้องเลือกของทีละชิ้น ตั้งแต่กล่องเหล็กบรรจุกระสุนปืนในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ตุ๊กตาอินเดียนแดง เครื่องประดับแฮนด์เมด จนถึงตัวอย่างเส้นใยทอผ้าจากโรงงานร้าง เชื่อเถอะว่า ‘Horse Unit’ มีสิ่งของบางอย่างที่มีเสน่ห์และลึกลับจนยากจะตัดใจ
ประตูกระจกสูงเผยให้แสงสว่างจากภายนอกส่องสว่างอย่างอบอุ่น มองจากภายนอก คุณอาจรู้สึกเหมือนร้าน ขายเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์เท่ๆ ทั่วไป ทว่าเมื่อผลักประตูกระจกบานใหญ่เข้าไปในร้าน การตกแต่งที่จัดวาง ไว้อย่างพิถีพิถัน บอกเล่าตัวตนเจ้าของร้านโดยไม่ต้องการคำอธิบาย กลิ่นหอมของเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่า กระเป๋าผ้า และเครื่องไม้เครื่องมือโบราณ ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในประตูเชื่อมกาลเวลา สู่ยุคสมัย หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งกองกล่องเหล็ก หีบไม้ และเสื้อผ้าสไตล์ Military
‘Horse Unit’ เป็นร้านขายของวินเทจสไตล์ Military และ House Ware โดยมี คุณบาส-ธรรมนูญ ใหม่พิมพ์ เจ้าของร้านวัย 39 ปี อดีตกราฟิกดีไซเนอร์ ที่ผันตัวเองมาเป็นนักสะสมและผู้คัดสรรสิ่งของทุกชิ้นด้วยตัวเอง “วิธีเลือกของผมไม่ซับซ้อนครับ ถ้าชิ้นไหนที่ผมรู้สึกอินกับมัน ผมจะเลือกสิ่งนั้นมาวางขายในร้าน” เหตุเพราะ คุณบาสเป็นนักสะสมของวินเทจตัวยง ก่อนตัดใจจากของบางชิ้นที่สะสมมานาน แล้วปล่อยให้คนอื่น ได้ครอบครอง
คุณบาสเคยมีงานอดิเรกทุกวันหยุด เป็นพ่อค้าขายของมือสองตามตลาดวินเทจ “มันเป็นความสนุกและ ความสุข เวลาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับลูกค้า บ่อยครั้งที่ลูกค้าก็เป็นครูของเรา” ก่อนที่คุณบาส จะตัดสินใจเช่าโกดังหมายเลข 4 เปิดร้านแรกของตัวเอง พร้อมทุ่มเทเวลาในการตกแต่ง หาของเข้าร้าน ผ่านการเดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และค้นหาสิ่งของวินเทจในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอเมริกา ที่เขายอมรับว่าได้อิทธิพลในการตกแต่งร้าน และนำเข้าสิ่งของวินเทจจากประเทศมหาอำนาจมากที่สุด
“ของชิ้นแรกที่สะสม คือกล่องกระสุน ทั้งกล่องเหล็กกล่องไม้ ส่วนตัวผมชอบพวก Typography อยู่แล้ว พอดีบนกล่องมีตัวหนังสือสวย ๆ เลยชอบ จากนั้นผมก็เริ่มศึกษามากขึ้น เริ่มรู้ลึกขึ้น ซึ่งความชอบจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ช่วงเวลา
“พอมาเปิดร้านผมก็ตกแต่งเองในแบบที่ชอบ จินตนาการว่ามุมนั้นเป็นห้องรับแขก ห้องทำงาน ของเกือบ 95% ภายในร้านเราขายหมดครับ นอกจากบางชิ้นที่ผมนำมาจัดวางเป็นไอเดียให้ลูกค้า ส่วนตัวผมไม่ค่อยเน้นขาย ของออนไลน์เท่าไหร่ เพราะผมอยากให้ลูกค้ามาที่ร้าน ได้สัมผัสสิ่งของ และพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน มันจะช่วยให้ อินกับของชิ้นนั้นมากกว่า”
โต๊ะเขียนแบบยุค 1930 จัดวางในมุมเล็กๆ ของร้าน ขาเหล็กสีดำขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกทนทาน เก้าอี้ไม้ วินเทจยุค 1940 จัดวางคู่กับโต๊ะเขียนแบบไว้อย่างลงตัว Skookum Dolls ตุ๊กตาอินเดียนแดงที่ทำจากเส้นผม และผ้าคลุมของอินเดียแดงวางเรียงบนตู้เหล็ก ใกล้กันเป็นหีบเหล็กที่ครั้งหนึ่ง เคยใช้บรรจุกระสุนปืนในยุค สงคราม ส่วนเสื้อผ้าและเครื่องประดับได้รับการจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบตรงโถงกลางของร้าน
“บางครั้งผมเจอลูกค้าต่างชาติที่มาเจอสิ่งของจากบ้านเกิดของเขา แล้วเขาก็เล่าประวัติศาสตร์ของมันให้ฟัง ทำให้เรารู้สึกอินเข้าไปอีก ยิ่งลูกค้าชอบของที่ผมเลือก มันทำให้ผมมีความสุขมากขึ้น เหมือนเราเจอคนที่ชอบ ของแปลก ๆ เหมือนกัน มันเจ๋งตรงนี้แหละครับ”
ภายในโกดังหมายเลข 4 ยังจัดแบ่งเป็นพื้นที่แห่งความฝันของผู้หญิงคนสำคัญของคุณบาสคือ คุณตวง-พันธ์นันท์ ธนินเตชพัฒน์ อดีตนักออกแบบจิลเวลรี่จากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เธอจัดแจง ระเบียงยาวชั้นสองไว้อย่างลงตัว พื้นไม้เก่าให้ความรู้สึกเปิดเผยและเป็นกันเอง เช่นเดียวกับรอยยิ้มและ บทสนทนาของคุณตวง สิ่งของส่วนใหญ่เป็นของสะสมส่วนตัว ที่เธออนุญาตให้คนแปลกหน้า เข้ามาสัมผัสโลกใบเล็กด้วยความเต็มใจ
“ตวงตั้งชื่อร้านว่า ‘Woot Woot’ เป็นคำแสลงบ่งบอกถึงการแสดงความรู้สึกดีใจ ตื่นเต้น ส่วนตัวเรารู้สึกถึง พลังงานบวกจากการเปล่งคำนี้ ของส่วนใหญ่ที่วางขายเป็นของสะสมตั้งแต่สมัยเรียนศิลปากร บวกกับตวง เรียนออกแบบจิลเวอรี เลยนำงานที่ออกแบบมาวางขาย บางอย่างก็สะสมมานานหรือเดินตลาดเก่า ทั้งในเมืองไทยและเมืองนอก จริง ๆ แล้วของวินเทจในเมืองไทยมีของน่าสนใจเยอะมาก และชาวต่างชาติให้ความสนใจเยอะ แม้หลายอย่างจะไม่ได้ทำเงินเท่าไหร่ แต่เราก็มีความสุขที่ได้เปิดร้าน”
คงไม่ผิดนัก หากคุณจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของการจัดแบ่งพื้นที่ บนชั้นสองเต็มไปด้วยกลิ่นอาย ของความเป็นเฟมินีนตามแบบฉบับของคุณตวง ผู้หลงใหลงงานคราฟต์ ศิลปะ และเครื่องประดับทำมือ คุณสามารถใช้เวลาละเลียดกับของสะสมหลายชิ้นที่เธอตัดใจให้ผู้อื่นครอบครอง อีกทั้งคุณตวง ยังต่อรอง กับเจ้าของงานคราฟต์ชื่อดังของไทย ให้ออกแบบชิ้นงานพิเศษในเชิง Collaborate ร่วมกับ Woot Woot ทำให้ของบางชิ้นมีขายเฉพาะที่ร้านของเธอเท่านั้น
“ตวงอยากให้ลูกค้ารู้สึกถึงความพิเศษเมื่อเข้ามาใน Woot Woot ให้เขารู้สึกประทับใจเวลาเจอของ ที่ไม่เหมือนใคร ของแต่ละชิ้นทำให้ลูกค้าของเรามีปฏิกิริยาแตกต่างกัน มันน่าสนใจมากเลยค่ะ เวลาเจอคน ที่ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน มันเหมือนเราได้เพื่อนใหม่ อย่างลูกค้าต่างชาติจะชอบหินสี เพราะเขาเชื่อเรื่อง พลังบำบัด แล้วเขาก็มีความรู้มากกว่าเราด้วย โดยเฉพาะคนญี่ปุ่นจะชอบงานคราฟต์ ฝรั่งบางคนจะซื้อไม้กวาดกลับบ้าน เพราะเขาเชื่อว่าไม้กวาดจะปัดกวาดสิ่งไม่ดีออกไป มันทำให้เราได้รับความรู้ใหม่ๆ จากการพูดคุยกับลูกค้านี่แหละ”
ในฐานะคู่รักนักสะสมที่คว่ำหวอดอยู่ในวงการกว่า 10 ปี และเจ้าของร้าน Horse Unit ที่เปิดตัวในโกดังแห่งนี้มากว่า 5 ปี คุณบาสมีคำแนะนำให้กับนักสะสมมือใหม่ หรือคนที่สนใจของวินเทจ “ผมอยากให้คุณรู้สึกชอบสิ่งนั้นจริงๆ ไม่ตามกระแส ไม่อย่างนั้นคุณจะเบื่อสิ่งนั้นเร็ว แต่คุณต้องชอบสิ่งนั้นมากพอถึงจะสะสมได้นาน ส่วนตัวผมเชื่อว่าของบางอย่างก็รอเจ้าของเมื่อถึงเวลาเขาจะมารับไปเอง”
ใครจะรู้ สิ่งของบางชิ้นที่จัดวางอยู่ในโกดังหมายเลข 4 อาจเป็นชิ้นที่เฝ้ารอคุณมาเนิ่นนานก็เป็นได้…
About ‘Horse Unit’
ตั้งอยู่ใน Warehouse 30 ซอยเจริญกรุง 30 ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ เปิดทุกวันพฤหัสบดี-วันอังคาร ตั้งแต่เวลา 11.00-19.00 น. สอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. (089) 454-2250 www.facebook.com/horseunitshop
- รวมไอเดียแฟชั่นชุดกี่เพ้า ตรุษจีนปีนี้คุณต้องเก๋จัดกว่าใคร - January 20, 2020
- พัทยาพาฟิน! ขับรถไปเช็คอินเก๋ๆ ที่ร้าน ‘ไทยมาเช่’ กันดีกว่า - December 5, 2019
- นิทรรศการ Living Cemetery นิทรรศการเดี่ยวของปราง เวชชาชีวะ - August 30, 2019
สมัชชา เกิดมาในยุคภาพถ่ายขาวดำและกล้องฟิล์มผ่านการร่ำเรียนด้านการถ่ายภาพจาก.
คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาทัศนศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยร่วมงานถ่ายภาพกับเอเจนซี่ชื่อดังก่อนจะไปใช้ชีวิตที่ลอส แอนเจลิส สหรัฐอเมริกา
สมัชชา เป็นช่างภาพมืออาชีพที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถสร้างความมหัศจรรย์และมนต์เสน่ห์ให้แก่ภาพถ่ายทุกภาพได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งในด้านการจัดวางองค์ประกอบ การให้แสง ตลอดจนการทำ Post Production เขามีปรัชญาการทำงานว่า “สร้างความแปลกใหม่ให้กับงานธรรมดาๆ แต่ต้องสามารถใช้งานได้จริง”
สมัชชา ยังคงถ่ายภาพอย่างต่อเนื่อง ใช้ชีวิตอันแสนจะวุ่นวายกับภรรยาและแมวอีก 40 ตัว