Now Reading
ขนมหวานอินเดีย ประวัติศาสตร์กินได้และกลิ่นอาย Urban Cult

ขนมหวานอินเดีย ประวัติศาสตร์กินได้และกลิ่นอาย Urban Cult

‘มิไฐ’ (Mithai) ขนมหวานอินเดีย ที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาสวยงาม แต่สะท้อนถึงศรัทธาและวัฒนธรรมของชาวอินเดียมาแต่ครั้งโบราณ ตามความเชื่อของชาวอินเดียขนมหวาน’เป็นสัญลักษณ์ของ “ความรุ่งเรืองและความอุดมสมบูรณ์” ด้วยวัตถุดิบง่าย ๆ อย่าง น้ำตาลอ้อย นมวัว ถั่วเปลือกแข็ง และเครื่องเทศนานาชนิด นำมารังสรรค์เป็นขนมหวานหลากสีที่ซ่อนความหมายตามหลักความเชื่อไว้ภายใน จากราชสำนักโบราณของอินเดียถึงย่านพหุวัฒนธรรมอย่างพาหุรัด ใจกลางกรุงเทพฯ ขนมหวานของชาวอินเดียยังสะท้อนทั้งวัฒนธรรมและ Urban Lifestyle ของคนอินเดียยุคใหม่ได้อย่างน่าสนใจ

ประวัติศาสตร์ ‘ขนมหวาน’ ของชาวอินเดีย

ขนมหวานอินเดียหรือ ‘มิไฐ’ มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีและเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับศาสนา วัฒนธรรม และอิทธิพลจากต่างชาติ หลักฐานทางโบราณคดีระบุว่า ชมพูทวีป (อนุทวีปอินเดีย) เป็นผู้บุกเบิกการปลูกอ้อยและคิดค้นวิธีการผลิตน้ำตาลทรายบริสุทธิ์ (Sarkara) และน้ำตาลดิบ (Gur หรือ Jaggery) มาตั้งแต่ประมาณ 8,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยขนมหวานในยุคนั้นทำจากวัตถุดิบง่าย ๆ อย่าง น้ำผึ้ง น้ำอ้อยดิบ ธัญพืช และผลไม้ตามฤดูกาล

เชื่อกันว่า ขนมหวานที่เก่าแก่ที่สุดคือ คีร์ หรือ พายาซัม (Kheer / Payasam) ซึ่งทำจากข้าวหรือวุ้นเส้นหุงกับนมและน้ำเชื่อม ได้รับการกล่าวถึงในตำราพระเวทและเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคล เช่นเดียวกับ อาปูปา (Apūpa) ขนมเค้กโบราณที่กล่าวถึงในคัมภีร์ฤคเวท ทำจากแป้งข้าวบาร์เลย์ทอดในเนยใสจุ่มน้ำผึ้ง อันเป็นต้นกำเนิดของขนมมาลปัว (Malpua) และ ลาดู (Laddu) ขนมทรงกลมที่ทำจากแป้งถั่วผสมน้ำตาลและเนยใส ที่มีบทบาทสำคัญทางศาสนาและพิธีบูชาเทพเจ้า

เข้าสู่ยุคกลาง (ค.ศ. 600 เป็นต้นไป) ขนมหวานเริ่มพัฒนาด้วยนมและเนยใส ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ที่ถวายเทพเจ้า โดยมี ‘นม’ และผลิตภัณฑ์จากนม (เช่น นมเปรี้ยว เนยใส) เป็นวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ถวายเทพเจ้ามาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม เช่น เปดะ (Peda) ที่ทำจากนมกวนแข็ง นอกจากนี้ ชาวเบงกอลในภาคตะวันออกของอินเดียยังค้นพบวิธีทำให้นมจับตัวเป็นก้อน (Chhena หรือ Paneer) ทำให้เกิดขนมตระกูลชีสสดที่โด่งดัง เช่น รัสโกลลา (Rasgulla) และ สันเทศ (Sandesh)

ยุคราชวงศ์โมกุล (Mughal Era) ค.ศ. 1526 – ค.ศ. 1707 ขนมหวานอินเดียเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น ด้วยอิทธิพลจากชาวเปอร์เซียและเอเชียกลาง การใช้เครื่องเทศหรูหราอย่าง หญ้าฝรั่น น้ำดอกกุหลาบ และถั่วเปลือกแข็ง ทำให้เกิดขนมหวานอย่าง กุหลาบจามุน (Gulab Jamun) จาเลบี (Jalebi) และคุลฟี (Kulfi) หรือไอศกรีมสไตล์อินเดีย ที่ทำจากการเคี่ยวนมสดและเป็นของหวานที่ได้รับความนิยมในราชสำนักโมกุล ขนมเหล่านี้ไม่เพียงหอมหวานเท่านั้น แต่ยังมีหน้าตาสวยงามเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและเทศกาลเฉลิมฉลอง

ในยุคอาณานิคมหรือ บริติชราช (British Raj) ค.ศ. 1858 – ค.ศ. 1947 น้ำตาลมีราคาถูกลง ทำให้ขนมหวานเข้าถึงคนทั่วไปมากขึ้น แต่ละภูมิภาคจึงพัฒนาขนมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ไมซอร์พัก (Mysore Pak) จากภาคใต้ที่ทำจากถั่วลูกไก่ เนยใส และน้ำตาล หรือ บาร์ฟี (Barfi) จากภาคเหนือที่มีลักษณะคล้ายฟัดจ์ (Fudge) ของตะวันตก เป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมอย่างมากในงานเฉลิมฉลองและเทศกาลดิวาลี (Diwali) ขนมหวานอินเดียยังคงสะท้อนทั้งศรัทธา ความงาม และ urban cult ของชีวิตสมัยใหม่ ทุกคำเปรียบดังบทกวีของรสชาติ ประวัติศาสตร์ และสุนทรียะที่กินได้

‘เพธา’ ขนมหวานสีขาวที่เล่ารักแท้จากทัชมาฮาล

หนึ่งในขนมหวานที่มีเกร็ดความรู้สนุก ๆ ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ ‘เพธา’ (Petha) เชื่อกันว่าคิดค้นขึ้นมาในสมัยจักรพรรดิชาห์จาฮาน (Shah Jahan) แห่งราชวงศ์โมกุล พระองค์ทรงครองราชย์ใน ค.ศ. 1628–1658 ระหว่างการก่อสร้างทัชมาฮาล จักรพรรดิจาฮานได้สั่งให้เชฟของราชสำนักคิดค้นขนมหวานที่มีความบริสุทธิ์และสีขาวเหมือนมหาวิหาร เชฟจึงตัดฟักขาว (เพธา) เป็นลูกเต๋า ต้มกับน้ำแล้วผสมน้ำตาล เพื่อเป็นขนมหวานที่บริสุทธิ์และสวยงามเหมือนทัชมาฮาล

อีกตำนานเล่าว่า ระหว่างสร้างทัชมาฮาลซึ่งกินเวลานานถึง 22 ปี คนงานกินแต่โรตีและถั่วเลนทิล (dal) จนเบื่อและล้มป่วย จักรพรรดิจาฮานจึงได้ปรึกษาสถาปนิก อุสตัด อิซา (Ustad Isa) ซึ่งเขาก็ไปขอคำแนะนำจาก Pir หรือผู้ให้คำแนะนำทางจิตวิญญาณอีกที โดย Pir กล่าวว่า เขาได้รับสูตรขนมเพธาระหว่างทำสมาธิ จักรพรรดิชาห์จาฮานจึงสั่งให้เชฟประจำราชสำนักทำขนมชนิดนั้นขึ้นมา โดยเชฟได้นำฟักขาวมาต้มกับน้ำและผสมน้ำตาลกลายเป็นแหล่งพลังงานเร่งด่วนให้คนงาน และเป็นขนมหวานพื้นเมืองมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องราวของเพธาจึงไม่ใช่แค่ขนมหวาน แต่เป็นบทกวีสีขาวที่บอกเล่าความรัก ศรัทธา และความวิจิตรของยุคโมกุลอีกด้วย

ทำไมขนมอินเดียต้องหวานจัด เบื้องหลังความหวานแสบคอ

นักประวัติศาสตร์อาหารชื่อดัง K.T. Achaya นักประวัติศาสตร์อาหารและนักวิทยาศาสตร์อาหารชาวอินเดีย ที่มีชื่อเสียงด้านการศึกษาประวัติศาสตร์อาหารอินเดียและพัฒนาการของวัตถุดิบ เคยกล่าวไว้ว่า “ขนมอินเดียเริ่มจากนม น้ำผึ้ง และผลไม้ แต่การเติมน้ำตาลทำให้มิไฐกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและพิธีกรรมทางศาสนา” การใส่น้ำตาลเข้มข้นในขนมหวานไม่เพียงช่วยเก็บรักษาอาหาร แต่ยังสะท้อนอุดมคติแห่งความสมบูรณ์แบบและความมั่งคั่งของสังคม

Photo by fuseviews on Unsplash

Photo by fuseviews on Unsplash

Tarla Khanna เชฟและนักเขียนตำราอาหารชาวอินเดีย ผู้มีชื่อเสียงด้านการทำอาหารอินเดียและขนมหวาน จน ได้รับยกย่องเป็น “Queen of Indian Cooking” สำหรับการทำให้ขนมและอาหารอินเดียที่เข้าถึงง่าย และยังคงความ authentic ของรสชาติแบบดั้งเดิม อธิบายว่า “รสหวานจัด คือส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของ Mithai ในเมืองใหญ่ ขนมแต่ละชิ้นต้องสวยงาม สีสันสะดุดตา และมีลวดลายซับซ้อนเหมือนประติมากรรมขนาดจิ๋วที่ทั้งอร่อยและมีความเป็นศิลปะในตัว” ทั้งสีสัน รูปทรง และการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ สื่อถึงศรัทธาและความงาม ความหวานจัดจึงไม่ใช่เรื่องของรสชาติเท่านั้น แต่ยังเป็น statement แห่งความมั่งคั่งทั้งเชิงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ ทุกคำหวานของมิไฐ คือบทกวีที่เล่าประวัติศาสตร์ ความศรัทธา และความงามที่ถูกสืบทอดผ่านยุคสมัย หวาน ล้ำ หรู และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งเทศกาล

10 ขนมหวานอินเดียยอดนิยม ที่คนรักความหวานต้องลอง!

ขนมหวานอินเดียเป็นที่นิยมอย่างมากในด้านรสชาติที่หวานละมุนและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายชนิดมีความเกี่ยวข้องกับการบูชาเทพเจ้าในศาสนาฮินดู เรารวม 10 อันดับขนมหวานยอดนิยมของอินเดีย พร้อมส่วนประกอบ ความหมาย และเทพเจ้าที่นิยมใช้บูชามาฝาก

  1. กุหลาบจามุน (Gulab Jamun): ขนมหวานที่ทำจากนมสด แป้ง (มักเป็นแป้งสาลี) เนยใส (กี หรือ Ghee) นำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ แล้วทอดจนเป็นสีทองหรือน้ำตาล นำไปแช่ในน้ำเชื่อม (Chashni) ที่มีส่วนผสมของน้ำกุหลาบและกระวาน บางครั้งใส่หญ้าฝรั่น (Saffron) ลงไป จามุนสื่อถึงความบริสุทธิ์และความสงบ (เนื่องจากสีขาวครีมหรือทองอ่อนก่อนแช่น้ำเชื่อม) และความหอมหวาน นิยมนำไปถวายพระศิวะ
  • ลาดู (Laddu / Ladoo): ขนมหวานที่ทำจากแป้งถั่ว (แป้งถั่วลูกไก่ หรือ Besan) เนยใส และน้ำตาล มักปั้นเป็นก้อนกลม อาจมีส่วนผสมอื่น ๆ เช่น มะพร้าวขูด ถั่ว หรือเครื่องเทศต่าง ๆ สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ ความสุข ความสำเร็จ และเครื่องหมายแห่งความเป็นสิริมงคล เป็นขนมที่พระพิฆเนศทรงโปรดปรานที่สุด จึงเป็นที่นิยมถวายเพื่อขอพรให้ประสบความสำเร็จในทุกด้าน
  • โมทกะ (Modak): ขนมหวานที่มีลักษณะคล้ายขนมจีบแต่มีรสหวาน ทำจากแป้งข้าวเจ้าห่อไส้ที่ทำจากมะพร้าวขูดผสมน้ำตาลโตนดหรือน้ำตาลทราย มีกลิ่นหอมของลูกจันทน์เทศและหญ้าฝรั่น มักนำไปนึ่งหรือทอด (แบบทอดเรียก Khoya Modak) เป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญาและความสำเร็จ มีรูปทรงคล้ายถุงเงินถุงทอง เป็นอีกหนึ่งขนมทรงโปรดของพระพิฆเนศและนิยมถวายควบคู่กับลาดู

  • จาเลบิ (Jalebi): ขนมหวานอินเดียที่มีลักษณะเป็นเกลียวหรือก้นหอย ทอดจนกรอบและชุ่มไปด้วยน้ำเชื่อมรสหวาน เป็นขนมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอินเดีย ปากีสถาน และประเทศอื่น ๆ ในเอเชียใต้ จาเลบิมีรูปทรงคล้ายกำไลข้อมือสื่อถึงความรัก ความผูกพัน และเป็นขนมที่นิยมทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในงานเทศกาลต่าง ๆ นิยมถวายพระแม่ลักษมี เนื่องจากสีส้มสดใสและสื่อถึงโชคลาภ
  • ราสมาลัย (Rasmalai): ขนมหวานที่ได้รับความนิยมอย่างสูง มีต้นกำเนิดมาจากภูมิภาคเบงกอล (ครอบคลุมอินเดียตะวันออกและบังกลาเทศ) ทำจากก้อนชีสสดนุ่ม ๆ นำไปแช่ในน้ำนมหวานปรุงรสด้วยกระวาน หญ้าฝรั่น และโรยหน้าด้วยถั่วพิสตาชิโอหรืออัลมอนด์ คำว่า ‘Ras’ แปลว่า ชุ่มฉ่ำ (Juicy) และ ‘Malai’ แปลว่า ครีม (Cream) สื่อถึง ก้อนครีมที่ชุ่มฉ่ำหวานละมุนละไม และเป็นเครื่องหมายของความสุขและความสดชื่นนิยมถวายพระวิษณุและพระแม่ลักษมี เนื่องจากส่วนผสมหลักจากนมหรือครีม เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์และความอุดมสมบูรณ์

  • บาร์ฟี่ (Barfi / Burfi): ขนมหวานทำจากนมข้น นมผง หรือชีสสด (Khoya) กวนกับน้ำตาลจนข้นและแข็งตัว ปรุงรสด้วยเครื่องเทศ มะพร้าว ถั่ว หรือช็อกโกแลต นำมาตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ บาร์ฟี่เป็นสัญลักษณ์ของความรักและความปรารถนาดี (เหมือนขนมเปดะ) และความบริสุทธิ์ (จากสีขาวของนม) สามารถถวายเทพเจ้าได้หลายองค์ เช่น พระแม่ลักษมี และพระพิฆเนศ

  • เปดะ (Peda): ขนมหวานทำจากนมข้นเคี่ยวกับน้ำตาลและเนยใสจนเป็นก้อน เพิ่มเครื่องเทศกลิ่นหอมต่าง ๆ ลงไป เช่น กระวาน หรือหญ้าฝรั่น  เป็นสัญลักษณ์ของความรักและความปรารถนาดี มักถูกมอบให้กันในโอกาสมงคล นิยมถวายพระกฤษณะ และพระศิวะ

  • รัสกุลลา (Rasgulla): ขนมหวานที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเอเชียใต้ โดยเฉพาะภูมิภาคเบงกอลตะวันออก (รัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย และบังคลาเทศ) และโอริสสา (Odisha) ทำจากก้อนชีสสดนำไปต้มหรือนึ่งในน้ำเชื่อมหอมกลิ่นกระวาน เนื้อสัมผัสคล้ายฟองน้ำ สื่อถึงความบริสุทธิ์และความหวานชื่นของชีวิต สามารถถวายเทพเจ้าได้หลายองค์ (โดยเฉพาะทางเบงกอล)

  • มัยซอร์ปาค (Mysore Pak): ขนมหวานอินเดีย (Mithai) ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รักอย่างมากในรัฐทางตอนใต้ของอินเดีย โดยเฉพาะรัฐกรณาฏกะ (Karnataka) และทมิฬนาฑู (Tamil Nadu) ชื่อขนมมาจากเมืองมัยซอร์ (Mysore) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิด และคำว่า ‘ปาค’ (Pak / Paaka) ในภาษาท้องถิ่นหมายถึง ‘น้ำเชื่อม’ หรือ ‘ส่วนผสมเคี่ยว’ ขึ้นชื่อเรื่องความหอมหวานและเนื้อสัมผัมเข้มข้น ทำจากแป้งถั่วลูกไก่ น้ำตาล และเนยใส นำไปเคี่ยวจนเข้มข้นและแข็งตัว คล้ายขนมผิงกรอบ แต่เนื้อนุ่มและชุ่มฉ่ำเนยใส สื่อถึงความรุ่งเรืองและเป็นขนมที่หรูหรา นิยมถวายพระพิฆเนศ
  1. โซนปาปดี (Soan Papdi): ขนมหวานยอดนิยมที่มีเนื้อสัมผัสเบาบางคล้ายรังไหมอ่อนนุ่ม สามารถละลายในปากได้ง่าย ทำจากแป้งถั่วลูกไก่ แป้งสาลี น้ำตาล และเนยใส ผสมกันแล้วดึงจนเกิดเป็นเส้นใยบางเบาคล้ายใยแมงมุม และตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ สื่อถึงความเบาและอ่อนโยน เป็นขนมที่นิยมมอบให้กันในเทศกาลต่าง ๆ สามารถถวายเทพเจ้าได้ทั่วไป

** ข้อควรรู้: การถวายขนมหวานอินเดีย ถือเป็นสัญลักษณ์ของการอาหารมงคลที่ปราศจากเนื้อสัตว์ โดยทั่วไปสามารถถวายเทพเจ้าได้เกือบทุกพระองค์ แต่บางชนิดจะมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในฐานะขนมทรงโปรดของเทพบางองค์เป็นพิเศษ เช่น ลาดูและโมทกะ สำหรับพระพิฆเนศ เป็นต้น

การใช้ ‘มิไฐ’ ในพิธีกรรมทางศาสนา เปรียบเสมือน Urban Ritual ของคนเมืองยุคใหม่ที่ยังคงรักษาความเชื่อแบบดั้งเดิมในชีวิตประจำวัน ทุกองค์ล้วยสื่อถึงศรัทธา ความงาม และความพร้อมที่จะรับพรจากเทพเจ้า การซื้อขนมหวานในย่านพาหุรัดจึงเหมือนการเดินชม “พิพิธภัณฑ์แห่งรสชาติและวัฒนธรรม” ทำให้ขนมหวานอินเดียเป็นสะพานเชื่อมต่อทางวัฒนธรรมที่หอมหวาน สืบทอดองค์ความรู้จากราชสำนักโบราณจนถึงคนธรรมดา เพราะทุกคำหวานคือ ritual, art และ cultural prosperity ที่จับต้องได้

แหล่งอ้างอิง:

  1. Achaya, K.T., A Historical Dictionary of Indian Food, Oxford University Press, 1998
  2. Khanna, Tarla, Indian Cooking Unfolded, Westland, 2016
  3. Sen, Colleen Taylor, Feasts and Fasts: A History of Food in India, Reaktion Books, 2015
https://www.localsamosa.com/2023/05/10/the-sweet-legacy-of-the-mughals-exploring-the-history-of-petha

กดติดตามเราได้ที่

website       :  www.fyibangkok.com

facebook     : https://www.facebook.com/fyibangkok

instagram    : https://www.instagram.com/fyibangkok

twitter         : https://twitter.com/fyibangkok

youtube       : https://www.youtube.com/channel/UChhOQmckv2fqgkXJZ-Q1nCA

ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ถึงกองบรรณาธิการ : pr.fyibangkok@gmail.com 
โทรศัพท์ 096 449 9516

รัสรินทร์ สุนทรกมลรัศมิ์