Now Reading
‘ดิวาลี’ เทศกาลแห่งแสงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พร้อมบูชาพระแม่ลักษมี เทพีแห่งความมั่งคั่ง!

‘ดิวาลี’ เทศกาลแห่งแสงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พร้อมบูชาพระแม่ลักษมี เทพีแห่งความมั่งคั่ง!

เสียงพลุไฟนับร้อยก้องกังวานทั่วเมือง ระบำดอกไม้ของพลุไฟอาบฉาบฉายทั่วท้องฟ้า ขับไล่ความมืดมิดของราตรีกาลให้เจิดจ้าราวกับรุ่งอรุณ แสงไฟจากดียา (Diya) ตะเกียงดินเผาใส่เทียนแบบดั้งเดิมส่องประกายระยับระยับนับล้านดวง หญิงสาวในชุดส่าหรีหลากสีสันร่ายรำไปกับท่วงทำนองสนุกสนาน บ้านเรือนประดับประดาด้วยโคมไฟหลากรูปทรงและสีสัน ฉาบทอให้ทั่วทั้งเมืองเปล่งประกายสว่างไสวในยามค่ำคืน มันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ‘ดิวาลี’ (Diwali) หรือ “เทศกาลแห่งแสงสว่าง” ที่มีชีวิตชีวาที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

Photo by atarin michaeli on Unsplash
Photo by Dibakar Roy on Unsplash

แสงสว่าง-สีสัน-ศรัทธา จิตวิญญาณแห่งการเริ่มต้นในช่วงเวลา ‘ดิวาลี’

            ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความนิยมในการจัดงานเฉลิมฉลอง ‘ดิวาลี’ เทศกาลแห่งแสงสว่างและศรัทธา ได้แผ่ขยายไปหลายประเทศทั่วโลกตามการตั้งถิ่นฐานของชาวอินเดียโพ้นทะเล (Indian Diaspora) ผู้ศรัทธาจากหลายศาสนาต่างพากันร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี ไม่ว่าจะเป็น ฮินดู ซิกข์ หรือเชน โดยคำว่า ‘ดิวาลี’ มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตว่า ‘ทีปวาลี’ (Deepavali) ซึ่งมีความหมายอันงดงามว่า “แถวของตะเกียง” เทศกาลแห่งแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของแสงสว่างเหนือความมืดมิดและปัญญาเหนือกิเลส ด้วยการจุดประทีปและตะเกียงนับพันดวง

            นอกจากจะเป็นเทศกาลที่หลอมรวมผู้คนต่างศาสนาเข้าด้วยกันได้อย่างมีชีวิตชีวา ดิวาลียังเป็นหนึ่งในเทศกาลเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวัฒนธรรมของชาวอินเดียโดยเฉพาะชาวฮินดู เปรียบเสมือนการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ที่นำพาสิ่งดี ๆ มาสู่ชีวิตของผู้ศรัทธา เทศกาลดิวาลีจัดขึ้นในช่วงเดือน ‘อัศวินันท์’ หรือ ‘กฤษณปักษ์’ ระหว่างปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม 2568 โดยการเฉลิมฉลองจะกินเวลาต่อเนื่องนาน 5 วัน และเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่ปีนี้จัดงานเฉลิมฉลองบริเวณคลองโอ่งอ่าง ย่านพาหุรัด และไอคอนสยาม

ความเชื่อและพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของ ‘ดิวาลี’ ในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง

เทศกาลดิวาลี เต็มไปด้วยความเชื่อและตำนานศักดิ์สิทธิ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคและศาสนา ทว่าแก่นแท้ของเทศกาลคือ การเฉลิมฉลองชัยชนะของแสงสว่างเหนือความมืดมิด (The victory of light over darkness) หรือ ชัยชนะของความดีเหนือความชั่วร้าย และ แสงสว่างแห่งปัญญาที่ปัดเป่าความโง่เขลา จึงเป็นที่มาของเทศกาลแห่งแสงสว่าง

            หนึ่งในตำนานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดมาจากตอนเหนือของอินเดียที่เชื่อว่า ดิวาลีเป็นช่วงเวลาเฉลิมฉลองการเดินทางกลับสู่กรุงอโยธยาของพระราม พระลักษมณ์ และนางสีดา หลังจากที่พระองค์ทรงมีชัยชนะเหนือทศกัณฐ์ (รากษสแห่งลังกา) ทว่าการเดินทางกลับบ้านกินเวลานานถึง 14 ปี และวันที่เสด็จกลับตรงกับคืนเดือนมืด ชาวเมืองอโยธยาจึงพร้อมใจกันจุดตะเกียงน้ำมัน (ดียา) ส่องสว่างไปทั่วทั้งเมืองเพื่อต้อนรับการกลับมาของพระองค์ อันเป็นที่มาของคำว่า ‘ดิวาลี’ ที่แปลว่า “แถวของตะเกียง”) ให้แสงตะเกียงส่องสว่างไปทั่วทั้งเมืองเพื่อต้อนรับการกลับมาของพระองค์

ขณะที่ชาวอินเดียใต้เชื่อว่า ดิวาลีเป็นช่วงเวลาเฉลิมฉลองชัยชนะของพระกฤษณะเหนือ ‘นรกาสูร’ อสูรผู้ชั่วร้าย ซึ่งได้จับหญิงสาว 16,000 คนไปเป็นเชลย การปราบอสูรตนนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของการปลดปล่อยและความยุติธรรม โดยจัดให้มีพิธีกรรมก่อนวันดิวาลีหลักที่เรียกว่า นรกะ จตุรทศี (Naraka Chaturdashi) โดยผู้คนจะตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเพื่ออาบน้ำด้วยน้ำมันต่าง ๆ เช่น น้ำมันงา และนำอุบตัน (Ubtan) สมุนไพรต่าง ๆ เช่น ขมิ้น ไพล มาบดผสมกับน้ำมัน แล้วทาให้ทั่วเรือนร่าง การอาบน้ำด้วยพิธีกรรมนี้เชื่อว่า จะช่วยชำระล้างมลทิน บาปกรรม และความชั่วร้ายทั้งมวลออกจากร่างกายและจิตใจ เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความบริสุทธิ์และช่วยให้ผิวพรรณงดงาม

            นอกจากนี้ ชาวอินเดียยังให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ เปรียบเสมือนการปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากชีวิตเพื่อต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ พวกเขาจะซื้อเสื้อผ้าและของใช้ใหม่ เช่น รองเท้า กระเป๋าเงิน ฯลฯ เมื่อเข้าสู่ยามค่ำคืน ท้องฟ้าจะสว่างไสวไปด้วยแสงเรืองรองจากตะเกียง พลุ และดอกไม้ไฟที่จุดขึ้นอย่างคึกคัก ผู้คนจะแบ่งปันขนมหวาน ‘มิถาย’ (Mithai) และมอบของขวัญให้แก่กัน เพื่อเสริมสร้างความรักความผูกพันในครอบครัวและชุมชน

บูชาพระแม่ลักษมีเพื่อความมั่งคั่ง โชคลาภ และความเจริญรุ่งเรือง

นอกจากจะเป็นเทศกาลแห่งแสงสว่าง แล้วดิวาลียังเป็นวันที่มีการบูชา ‘พระแม่ลักษมี’ เทพีแห่งความมั่งคั่ง ความอุดมสมบูรณ์ และความเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังเป็นวันสำคัญที่สุดในการขอพรด้านโชคลาภ เชื่อกันว่าพระแม่ลักษมีถือกำเนิดมาจากการกวนเกษียรสมุทร (Samudra Manthan) ในวันธันเตรัส (Dhanteras) ซึ่งตรงกับวันแรกของเทศกาลดิวาลี สมาชิกในครอบครัวของชาวฮินดูจะร่วมกันทำความสะอาดบ้านอย่างพิถีพิถัน เพราะเชื่อกันว่าพระองค์จะเสด็จไปเยือนบ้านที่สะอาด

            ไม่เพียงบ้านเรือนที่หอมสะอาด บริเวณพื้นหน้าบ้านก็ได้รับการตกแต่งด้วย ‘รังโกลี’ (Rangoli) การวาดลวดลายดอกไม้หลากสีสันด้วยทรายสีบริเวณพื้นหน้าบ้านเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนตามความเชื่อที่ว่า รังโกลีจะป้องกันสิ่งชั่วร้าย พร้อมนำพาโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองมาสู่บ้านเรือนหรือศาสนสถาน ทั้งยังมีการประดับประดาบ้านและสถานที่ต่าง ๆ ด้วยตะเกียงน้ำมันและโคมไฟหลากสีสัน เพื่อเชื้อเชิญพระแม่ลักษมีให้เสด็จเข้ามาประทานพรแก่สมาชิกในครอบครัว

‘รังโกลี’ ลวดลายดอกไม้ที่ทำจากทรายหลากสีสัน

            ในช่วงค่ำคืนของวันดิวาลีหลัก ครอบครัวจะมารวมตัวกันเพื่อทำพิธี ‘ลักษมีบูชา’ การสวดมนต์บูชาพระแม่ลักษมี เชื่อกันว่าในค่ำคืนที่สว่างไสว พระแม่ลักษมีจะเสด็จประทานพรให้กับบ้านเรือนที่สะอาดและสว่างสว่างไสวที่สุด ชาวฮินดูยังนิยมบูชาเทพองค์อื่น ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลในวันเริ่มต้นปีใหม่ ทั้งพระแม่ลักษมี (เทพีแห่งความมั่งคั่ง) พระพิฆคเณศ (เทพเจ้าแห่งความสำเร็จและปัญญา) และท้าวกุเวร (เทพเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติ) เพื่อขอพรให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองตลอดปีที่กำลังจะมาถึง

Photo by Dibakar Roy on Unsplash

เทศกาลแห่งแสงสว่าง: ความหมายที่แตกต่างของ ‘ซิกข์’ และ ‘เชน’

            แม้จะเป็นเทศกาลหลักของศาสนาฮินดู แต่เทศกาลดิวาลีก็ได้รับการเฉลิมฉลองในศาสนาอื่น ๆ ด้วยความหมายที่แตกต่างกันไป ศาสนาเชน (Jainism) เชื่อว่า ดิวาลีเป็นวันรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ วันที่ ‘พระมหาวีระ’ (Lord Mahavira) ผู้เป็นตีรถังกร (Tirthankara) องค์ที่ 24 และองค์สุดท้ายบรรลุโมกษะ (Moksha) หรือการหลุดพ้นสูงสุด ณ สถานที่ที่เรียกว่า ‘ปาวาปุรี’ (Pawapuri) เมื่อ 527 ปีก่อนคริสตกาล ชาวเชนจึงจุดตะเกียงและโคมไฟเพื่อแสดงความเคารพต่อแสงสว่างแห่งปัญญา (Light of Knowledge) ที่พระมหาวีระมอบให้แก่โลก อันเป็นดั่งแสงสว่างเพื่อขับไล่ความมืดมิดแห่งความไม่รู้ (Ignorance) และวันรุ่งขึ้นหลังจากดิวาลีถือเป็นวันปีใหม่เชน (Jain New Year) แล้วยังเป็นวันที่ศิษย์เอกของพระมหาวีระคือ ‘คันธระ โคตมัสวามี’ (Ganadhara Gautam Swami) ได้บรรลุญาณอันสมบูรณ์อีกด้วย          

            ส่วนศาสนาซิกข์ (Sikhism) เรียกว่า ‘บัณดิ โชร์ ดีวัส’ (Bandi Chhor Divas) หรือ “วันแห่งการปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ” เพื่อรำลึกถึงวันการกลับมายังวิหารทองคำ (Harmandir Sahib) ของ ‘คุรุ ฮัร โคบินดุ สาหิบ’ (Guru Hargobind) คุรุพระองค์ที่ 6 และเจ้าชายฮินดู 52 องค์ ที่ถูกคุมขังไว้ภายในป้อม Gwalior โดยจักรพรรดิมูฆัล (Mughal Emperor) ในปี ค.ศ. 1619 เพื่อเฉลิมฉลองวันแห่งเสรีภาพ ความยุติธรรม และชัยชนะของแสงสว่างเหนือความมืด รวมถึงเป็นเครื่องเตือนใจถึงพลังของความเห็นอกเห็นใจ และความกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อผู้อื่น บ้านเรือนและกูรดวารา (วัดของชาวซิกข์) จะถูกตกแต่งด้วยไฟและแสงสว่างอย่างงดงามและเข้าร่วมกิจกรรมที่กูรดวารา เช่น การสวดมนต์ (กรีทัน) ฟังบทสวดศักดิ์สิทธิ์จากคัมภีร์คุรุ กรัณถ์ ซาฮิบ (Guru Granth Sahib) และร่วมรับประทานอาหารมังสวิรัติฟรี (ลางการ์) จะเห็นได้ว่า การเฉลิมฉลองของชาวซิกข์มีความหมายและพิธีกรรมทางศาสนาที่แตกต่างจากดิวาลีของชาวฮินดูอย่างมาก แต่มีการใช้แสงสว่างและดอกไม้ไฟในการเฉลิมฉลองที่คล้ายคลึงกัน

เทศกาลดิวาลี 5 วันแห่งศรัทธาและการประดับประดาด้วยแสงไฟ

เทศกาลดิวาลีไม่ได้เฉลิมฉลองแค่วันเดียว หากแต่เป็นเทศกาลที่กินเวลายาวนานถึง 5 วัน แต่ละวันจะมีความสำคัญและพิธีกรรมที่แตกต่างกันไป โดยแต่ละวันมีความหมาย ดังนี้

  • วันธันเตรัส (Dhanteras) หรือ ธนัตรโยทศี (Dhanatrayodashi) วันเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของเทศกาลดิวาลี โดยคำว่า ‘ธัน’ แปลว่าความมั่งคั่ง และ ‘เตรัส’ (Teras) ที่หมายถึง ‘วันที่สิบสาม’ ของช่วงข้างแรม (กฤษณปักษ์) ตามปฏิทินจันทรคติฮินดู ชาวฮินดูจะบูชา ‘พระธันวันตรี’ (อวตารของพระวิษณุ) เทพเจ้าแห่งอายุรเวทและสุขภาพ รวมถึงมีการบูชาพระแม่ลักษมีและพระกุเบร่า (Lord Kubera) ผู้คนจะทำความสะอาดบ้าน ตกแต่งหน้าบ้านด้วยรังโกรี และถือเป็นฤกษ์ดีในการซื้อทองคำ เงิน หรือเครื่องครัวใหม่ เพื่อต้อนรับความมั่งคั่งและโชคลาภ บางความเชื่อยังมีธรรมเนียมการจุดตะเกียงดินเผา (Diyas) ไว้นอกบ้านในยามค่ำคืน เพื่อบูชา ‘พระยม’ เทพแห่งความตาย และขอพรให้คนในครอบครัวรอดพ้นจากความตายก่อนวัยอันควร
  • วันนรกจาตุรทศี (Naraka Chaturdashi) หรือ ‘วันดิวาลีเล็ก’ (Choti Diwali) วันเฉลิมฉลองชัยชนะของพระกฤษณะเหนืออสูรนารกาสุระ (Narakasura) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะของความดีเหนือความชั่วร้าย ความสว่างเหนือความมืดมิด ทังยังเป็นวันที่ครอบครัวจะร่วมกันสวดมนต์เพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษและการทำลายล้างอสูร ผู้คนยังนิยมอาบน้ำมันหอมและประดับตกแต่งบ้านด้วยดียา
  • ดิวาลี วันบูชาพระแม่ลักษมี เป็นวันสำคัญที่สุดของเทศกาล ถือเป็นวันปีใหม่ของชาวฮินดู และเป็นวันที่เชื่อกันว่าพระแม่ลักษมี (เทพีแห่งความมั่งคั่งและโชคลาภ) จะเสด็จมาโปรดสัตว์โลก ครอบครัวจะรวมตัวกันเพื่อทำพิธีบูชาพระแม่ลักษมี และมีการจุดตะเกียงและเทียนจำนวนมากเพื่อขับไล่ความมืดมิดและต้อนรับความเจริญรุ่งเรือง
  • วันโควรรธันปูชา (Govardhan Puja) หรือ อันนกูฏ (Annakut) วันแห่งการบูชาพระกฤษณะ เพื่อรำลึกถึงวันที่ทรงยกภูเขาโควรรธันเพื่อปกป้องชาวบ้านจากน้ำท่วม (ในอินเดียตอนเหนือ) และมีการจัดงานเลี้ยงอาหารมากมาย (อันนกูฏ) เพื่อขอบคุณธรรมชาติและเทพเจ้า เป็นวันที่นักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการมักจะเริ่มต้นเปิดบัญชีเล่มใหม่ เพื่อความเป็นสิริมงคลและการเริ่มต้นที่ดี เริ่มต้นกิจการใหม่ หรือการเริ่มต้นทำงานเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ
  • วันภาย ดูช (Bhai Dooj) เป็นวันเฉลิมฉลองความผูกพันระหว่างพี่น้อง (พี่ชาย/น้องชาย และ พี่สาว/น้องสาว) น้องสาวจะทำพิธีขอพรและเจิมหน้าผากพี่ชายหรือน้องชาย เพื่อความเป็นสิริมงคล ความสำเร็จ และอายุยืนยาว
Image CaPhoto by Ojus Jaiswal on Unsplash

จากอินเดียสู่กรุงเทพมหานคร: ชาวไทยเชื้อสายอินเดียเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลีอย่างยิ่งใหญ่

เมื่อวัฒนธรรมเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังแผ่นดินไทย ทุกปีชาวไทยเชื้อสายอินเดียในกรุงเทพฯ ต่างร่วมฉลองดิวาลีอย่างยิ่งใหญ่ในย่านพาหุรัด หรือ ‘ลิตเติ้ลอินเดีย’ ศูนย์กลางของจิตวิญญาณแห่งเทศกาลดิวาลีในเมืองไทย ทุกร้านค้าต่างประดับประดาด้วยไฟกระพริบหลากสีสัน สายรุ้ง และโคมไฟสวยงาม บนทางเท้าจะเต็มไปด้วยแผงขายของสำหรับเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นตะเกียงดียาลวดลายต่าง ๆ เทียนหอม ผงรังโกลี สำหรับวาดลวดลายมงคลไว้ที่หน้าบ้าน ที่สำคัญคือขนมมิถายสารพัดชนิดที่วางเรียงรายทั้ง ลาดู, จาเลบี, บาร์ฟี ซึ่งแต่ละร้านก็จะมีสูตรเด็ดแตกต่างกันไป เป็นภาพที่งดงามและเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา

            ชาวไทยเชื้อสายอินเดียจะพากันแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่สวยงามที่สุด โดยเฉพาะส่าหรีและชุดปัญจาบีสีสันสดใส เพื่อเดินทางไปทำพิธีบูชาที่วัดเทพมณเฑียร (วัดซิกข์) ที่อยู่ใกล้เคียง ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยศรัทธาและความอบอุ่น พวกเขาจะพบปะพูดคุยกับญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง แลกเปลี่ยนของขวัญและขนมหวาน สำหรับพวกเขาแล้วเทศกาลดิวาลีในเมืองไทยไม่ได้เป็นเพียงพิธีกรรมทางศาสนา แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการเชื่อมสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชน เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนจะรู้สึกเหมือนกลับบ้าน ที่สำคัญคือการส่งต่อวัฒนธรรมและประเพณีอันดีไปสู่ลูกหลานรุ่นต่อไป ให้พวกเขาซึมซับและเข้าใจถึงรากเหง้าของตัวเอง หากคุณอยากสัมผัสจิตวิญญาณของดิวาลีอย่างแท้จริง การได้มาเดินเล่นที่พาหุรัดในช่วงเย็น ๆ คือคำตอบที่ดีที่สุด

            ท้ายที่สุดนี้ เทศกาลดิวาลี เปรียบเสมือนเครื่องย้ำเตือนใจว่า ไม่ว่ายามค่ำคืนจะมืดมิดเพียงไร แสงสว่างแห่งความดี ความหวัง และศรัทธา การแต่งกายด้วยสีสันสดใสและออกเดินเท้าสำรวจเทศกาลดิวาลีและชมนิทรรศการภาพถ่ายที่ย่านพาหุรัด ลองชิมขนมหวานของชาวอินเดีย ชมแสงไฟสวย ๆ บริเวณคลองโอ่งอ่าง และเปิดใจรับพลังบวกจากเทศกาลที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย แล้วคุณจะรู้ว่าแสงสว่างที่สวยงามที่สุด คือแสงสว่างที่มาจากหัวใจของผู้คนนั่นเอง

  • Amazing Thailand Grand Diwali Festival 2025 ย่านพาหุรัด ระหว่างวันที่ 16–20 ตุลาคม 2568 เวลา 16.00–22.00 น. / ย่านคลองโอ่งอ่าง ระหว่างวันที่ 16–20 ตุลาคม 2568 เวลา 16.00–22.00 น. (กำหนดการอาจเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม)
  • ประดับตกแต่งไฟระหว่างวันที่ 18-20 ตุลาคม 2568 เวลา 16.00–22.00 น.
  • ขบวนแห่เทพีลักษมีและพระพิฆเนศ รวมถึงขบวนพาเหรดสไตล์บอลลีวูด (18 ตุลาคม 2568)
  • การแสดงแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย–อินเดีย / การแสดงดนตรีจากศิลปินชื่อดัง / ซุ้มจำหน่ายสินค้าและกิจกรรมสาธิตวัฒนธรรมไทย–อินเดีย

กดติดตามเราได้ที่

website       :  www.fyibangkok.com

facebook     : https://www.facebook.com/fyibangkok

instagram    : https://www.instagram.com/fyibangkok

twitter         : https://twitter.com/fyibangkok

youtube       : https://www.youtube.com/channel/UChhOQmckv2fqgkXJZ-Q1nCA

ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ถึงกองบรรณาธิการ : pr.fyibangkok@gmail.com 
โทรศัพท์ 096 449 9516

น้อง สมัทชา

รัสรินทร์ สุนทรกมลรัศมิ์
สมัชชา อภัยสุวรรณ
Latest posts by สมัชชา อภัยสุวรรณ (see all)