Now Reading
คลังสิ่งของต้องคำสาป เมื่อตำนานอาถรรพ์ถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้ง!

คลังสิ่งของต้องคำสาป เมื่อตำนานอาถรรพ์ถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้ง!

ข่าวการปล้นครั้งประวัติศาสตร์สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลก เมื่อโจรกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปใน Galerie d’Apollon ห้องเก็บเครื่องเพชรของราชวงศ์ฝรั่งเศสภายในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre Museum) พร้อมกวาดอัญมณีล้ำค่าไปหลายชิ้นในเวลาไม่ถึง 7 นาที แต่สิ่งที่ทำให้การโจรกรรมครั้งนี้สร้างความตื่นตระหนกอย่างมาก ไม่ใช่แค่มูลค่าอันประเมิณมิได้ของสมบัติชาติและการโจรกรรมอันอุกอาจเท่านั้น ทว่ายังมีเสียงกระซิบถึง “คำสาปโบราณ” ที่อยู่คู่กับเครื่องเพชรมานานหลายศตวรรษ

ในโลกที่เต็มไปด้วยวัตถุเก่าคร่าที่เก็บซ่อนตำนานหลอนไว้ภายใต้ความสวยงามหรือเรียบง่าย มันกลายเป็น ‘Urban Legend’ และ ‘Creepypasta’ เรื่องเล่าสยองขวัญที่โลดแล่นในโลกยุคใหม่ สิ่งของต้องคำสาปที่รอให้ใครสักคนมาปลุกขึ้นมาจากการจองจำ เราชวนคุณมาเปิด ‘คลังสิ่งของ’ สุดหลอนที่ได้รับจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก

The Hope Diamond: อาถรรพ์เพชรต้องสาปแห่งราชบัลลังก์

ก่อนจะถูกขนานนามว่า Hope Diamond อัญมณีสีน้ำเงินเข้มที่สวยงามตราตรึง เคยเป็นส่วนหนึ่งของ “ดวงตาแห่งวิษณุเทพ” ในมหาวิหารประเทศอินเดีย ก่อนที่พ่อค้าเพชรชาวฝรั่งเศส ฌอง-แบปติสต์ ตาแวร์นีเย (Jean-Baptiste Tavernier) จะเป็นผู้นำเพชรดิบเม็ดใหญ่จากอินเดียมาถวายแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Louis XIV of France) ในปี ค.ศ. 1668 พระองค์สั่งให้เจียระไนใหม่เป็นรูปทรงหัวใจขนาด 67.125 กะรัต และนำไปประดับบนสายสะพายเครื่องอิสริยาภรณ์ จนได้รับฉายาว่า “เพชรสีน้ำเงินแห่งฝรั่งเศส” (The French Blue) หรือ “เพชรสีน้ำเงินแห่งราชบัลลังก์” (Blue Diamond of the Crown)

ว่ากันว่า ผู้ที่เคยครอบครองเพชรเม็ดนี้ต่างประสบชะตากรรมอันโหดร้าย ทั้งถูกฆาตกรรม ฆ่าตัวตาย ล้มละลาย หรือประสบอุบัติเหตุอันน่าสยดสยอง ไม่เว้นแม้แต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (Louis XVI of France) และพระนางมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ผู้สิ้นพระชนม์ด้วยคมกิโยติน จนถึงครอบครัวสุดท้ายที่ครอบครองอย่าง Evalyn Walsh McLean เศรษฐินีชาวอเมริกัน ก็ต้องเจอกับเรื่องเลวร้าย ทั้งลูกชายเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ ลูกสาวฆ่าตัวตาย และสามีเสียสติ

เพชรโฮปเคยจัดแสดงชั่วคราวในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ระหว่างศตวรรษที่ 18 ก่อนถูกโจรกรรมอย่างลึกลับในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส หลายปีต่อมา เพชรสีน้ำเงินปรากฎตัวในลอนดอนปี ค.ศ. 1812 ด้วยรูปทรงและขนาด 45.52 กะรัต นักอัญมณีวิทยาเชื่อว่ามันคือ “เพชรสีน้ำเงินฝรั่งเศส” ที่ได้รับการเจียระไนใหม่ เพื่ออำพรางการโจรกรรมในช่วงปฏิวัติ และล้างอาถรรพ์ที่ติดมากับรูปทรงเดิมของมัน ทว่านักภัณฑารักษ์คนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ผู้ไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์ใด ๆ ได้กล่าวไว้ว่า “อาถรรพ์ของเพชรโฮปไม่ใช่คำสาปจากเทพเจ้า แต่คือเงาสะท้อนความโลภในหัวใจมนุษย์”

มัมมี่แห่งความโชคร้าย (The Unlucky Mummy)

หนึ่งในตำนานที่ทั้งน่าหลงใหลและชวนขนลุกที่สุดในประวัติศาสตร์พิพิธภัณฑ์โลก ภายในพิพิธภัณฑ์บริติช (British Museum) ที่เต็มไปด้วยอารยธรรมเก่าแก่ของโลก ยังมีวัตถุหนึ่งที่ผู้คนเรียกขานว่า “มัมมี่แห่งความโชคร้าย” ทั้งที่จริงแล้ว มันไม่ใช่มัมมี่ทั้งร่างเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นเพียงแค่ฝาปิดโลงศพไม้แกะสลักอย่างงดงามของนักบวชหญิงของเทพอามุน เมื่อราว 950 ปีก่อนคริสตกาล ฝาโลงไม้ถูกขุดค้นพบในเมืองธีบส์และส่งมายังลอนดอนช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ยุคที่ชาวยุโรปคลั่งไคล้การล่าขุมทรัพย์แห่งสุสาน แต่ไม่นานหลังจากนั้น ข่าวลือก็เริ่มคลี่คลายราวกับผ้าพันมัมมี่ที่เริ่มเผยอาถรรพ์สุดลึกลับ

นักสำรวจผู้ขนส่งฝาโลงไม้คนแรกเสียชีวิตอย่างปริศนา ช่างภาพที่ถ่ายภาพวัตถุเกิดอุบัติเหตุ และผู้สื่อข่าวที่เขียนถึงมันก็ล้มป่วยกะทันหัน จนผู้คนเริ่มเรียกมันว่า “The Unlucky Mummy” เรื่องเล่าที่ทำให้คำสาปนี้โด่งดังที่สุดคือ “ชิ้นส่วนมัมมี่ถูกส่งไปพร้อมเรือ Titanic” ในปี 1912 เชื่อกันว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เรืออับปางกลางมหาสมุทร แต่ในความจริงแผ่นไม้ดังกล่าวไม่เคยออกจากบริติชมิวเซียมเลย ตำนานนั้นเกิดจากบทความในหนังสือพิมพ์ยุควิคตอเรียน ที่เล่นกับจินตนาการของสังคมผู้หมกมุ่นในเรื่องความตายและอาถรรพ์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “คำสาปมัมมี่” ก็กลายเป็นภาพจำในวัฒนธรรมป๊อป

นักโบราณคดีร่วมสมัยอธิบายว่า “คำสาปมัมมี่” แท้จริงแล้วคือ ภาพสะท้อนของความรู้สึกผิดจากยุคล่าอาณานิคม เมื่อโลกตะวันตกนำวัตถุศักดิ์สิทธิ์จากดินแดนอื่น ๆ มาจัดแสดงราวกับสิ่งของทางวิทยาศาสตร์ ความโชคร้ายของมัมมี่จึงอาจไม่ได้มาจากพลังลึกลับของคำสาปอียิปต์ แต่จากมนุษย์ที่พยายาม “ครอบครองอดีต” โดยไม่เข้าใจคุณค่าของมัน

แอนนาเบล (Annabelle): ตุ๊กตาที่โลกไม่กล้าทิ้ง

ตุ๊กตาผีสิงที่ถูกเก็บไว้ในตู้กระจกภายใน Warren’s Occult Museum Legacy สหรัฐอเมริกาไม่ใช่ตุ๊กตาพอร์ซเลนผมทองอย่างที่เห็นในภาพยนตร์ แต่เป็น Raggedy Ann ตุ๊กตาผ้ารุ่นคลาสสิกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกายุค 1970 เมื่อแม่คนหนึ่งซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้ลูกสาวชื่อ Donna จากนั้นไม่นาน ตุ๊กตาที่หนูน้อยวางไว้ตรงมุมห้องกลับขยับได้เอง หรือเขียนโน้ตใส่กระดาษว่า “Help me” ด้วยลายมือของเด็กหญิงตัวน้อย เพื่อนร่วมชั้นเรียนของดอนน่าฝันเห็นเด็กผู้หญิงมาขอให้ “เล่นด้วย” แล้วทิ้งกลิ่นแปลก ๆ ไว้ในอากาศ มันเป็นกลิ่นหอมคล้ายผ้าฝ้ายเก่า ๆ ที่เปื้อนฝุ่นจากโบสถ์

เชื่อกันว่า ตุ๊กตาแอนนาเบลถูกสิงโดยวิญญาณเด็กหญิงชื่อเดียวกัน ชื่อเสียงของมันแพร่กระจายจนไปถึงสามีภรรยานักปีศาจวิทยาอย่าง เอ็ด และ ลอร์เรน วอร์เรน (Ed & Lorraine Warren) ทั้งคู่ยืนยันว่า “ไม่ใช่วิญญาณเด็กที่สิงในตุ๊กตา แต่เป็นปีศาจที่แสร้งทำตัวเป็นเด็ก” เพื่อหลอกให้ผู้คนเปิดประตูสู่โลกมนุษย์ หลังทำพิธีสะกดวิญญาณทั้งสองได้นำตุ๊กตาไปเก็บไว้ใน Warren’s Occult Museum ภายในบ้านของตนเอง พร้อมติดป้ายเตือนว่า “Warning: Positively Do Not Open.” การย้ายหรือการดูถูกแอนนาเบลอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

มีเรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่งหัวเราะเยาะแอนนาเบลและเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ในวันเดียวกัน รวมถึงการจากไปของ แดน ริเวรา (Dan Rivera) หนึ่งในผู้ดูแลตุ๊กตาแอนนาเบลล์ ที่เสียชีวิตอย่างกะทันหันเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ด้วยวัยเพียง 54 ปี ระหว่างทัวร์แสดง “Devils on the Run Tour” รวมถึงตุ๊กตาแอนนาเบลล์ตัวจริง ปัจจุบัน สาเหตุการเสียชีวิตยังไม่ทราบแน่ชัด

Robert the Doll: ตุ๊กตาต้องคำสาปแม่มดวูดู

ตุ๊กตาผีสิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดตัวหนึ่งของโลก ว่ากันว่า เป็นแรงบันดาลใจหลักของตุ๊กตาปีศาจ ‘ชัคกี้’ (Chucky) ในภาพยนตร์ Child’s Play ตุ๊กตาโรเบิร์ต (Robert the Doll)เป็นตุ๊กตาผ้าขนาดเท่าเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ สูงประมาณ 40 นิ้วใส่ชุดกะลาสี และเก็บรักษาไว้อย่างแน่นหนาในตู้กระจกที่ Fort East Martello Museum เมืองคีย์เวสต์ สหรัฐอเมริกา ตุ๊กตาตัวนี้เดิมเป็นของเด็กชายโรเบิร์ต ยูจีน อ็อตโต (Robert Eugene Otto) ซึ่งเขาเรียกตัวเองว่า ‘ยีน’ (Gene) วัย 4 ขวบ (ในปี 1904)

 แม่บ้านชาวบาฮามาสที่ทำงานในบ้านของตระกูลอ็อตโต เป็นคนมอบตุ๊กตาโรเบิร์ตให้กับยีน หลังจากที่เธอได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมและถูกตำหนิอย่างรุนแรง จนเกิดความโกรธแค้นและทำพิธีสาปแช่งด้วยมนต์ดำวูดู ลงในตุ๊กตาตัวนี้เพื่อแก้แค้นครอบครัวอ็อตโต หลังจากหนูน้อยได้รับตุ๊กตาโรเบิร์ตก็เกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ในบ้าน ทั้งของเล่นกระจัดกระจาย เฟอร์นิเจอร์ล้ม หรือเสียงโครมครามจากห้องนอนของยีน มีผู้พบเห็นตุ๊กตาโรเบิร์ตเคลื่อนที่เองไปตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน หรือปรากฏตัวที่หน้าต่างของห้องพัก เพื่อมองออกไปยังถนนภายนอก

ยีน อ็อตโต ใช้ชีวิตอยู่กับตุ๊กตาโรเบิร์ตจนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1974 ทายาทจึงบริจาคตุ๊กตาให้กับพิพิธภัณฑ์ในปี 1994 ซึ่งเรื่องราวความหลอนของมันก็ถูกสานต่อในฐานะวัตถุจัดแสดงต้องคำสาป ร่ำลือกันว่า ใครก็ตามที่ก้าวเข้าไปในพิพิธภัณฑ์จะต้องขออนุญาตโรเบิร์ตเสียก่อน ใครที่ไม่ทำตามกฎก็มักจะเจอเรื่องโชคร้ายต่าง ๆ ตั้งแต่กล้องถ่ายรูปเสียทันทีเมื่อเล็งไปที่โรเบิร์ต ตกงาน เจ็บป่วยหนัก หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ความเชื่อนั้นรุนแรงถึงขนาดที่พิพิธภัณฑ์ได้รับจดหมายขอโทษจำนวนมากในแต่ละวัน จากนักท่องเที่ยวที่เขียนมาเพื่อขอให้โรเบิร์ตยกโทษให้และยกเลิกคำสาปเหล่านั้น

ปัจจุบัน Robert the Doll ถูกเก็บไว้ในตู้กระจกที่ Key West Art & Historical Society, Fort East Martello Museum และยังคงเป็นหนึ่งในตุ๊กตาผีสิงที่มีการรายงานถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมากที่สุดในโลก

เก้าอี้แห่งความตาย: ตำนานหลอนของ The Busby Stoop Chair       

เก้าอี้ไม่โอ๊คเก่า ๆ ตัวหนึ่ง เป็นที่มาของเรื่องราวสยองขวัญประจำเมืองในชนบทห่างไกลของประเทศอังกฤษ มันได้รับการเรียกขานว่าThe Busby Stoop Chair” อันมีที่มาจาก โธมัส บัสบี (Thomas Busby) ชายขี้เมาที่ถูกตัดสินประหารชีวิตในปี 1702 หลังจากที่เขาสังหารพ่อตาด้วยการใช้ค้อนทุบศีรษะจนเสียชีวิต โธมัสถูกจับกุมและตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ศพของเขาถูกนำไปแขวนประจานไว้ในกรงเหล็ก (Gibbet) ใกล้กับโรงเตี๊ยมประจำของเขา

ตำนานเล่าว่า บัสบีขอโอกาสสุดท้ายก่อนจะถูกนำตัวไปสู่ตะแลงแกง เขาขอเข้าไปดื่มเหล้าและนั่งเก้าอี้ไม้ตัวโปรดในโรงเตี๊ยมเป็นครั้งสุดท้าย บัสบีรักเก้าอี้ไม้ตัวนี้มากจนถือเป็นสมบัติส่วนตัว เมื่อดื่มเสร็จและกำลังถูกนำตัวออกไปเผชิญหน้ากับความตาย บัสบีก็เปล่งวาจาสาปแช่งออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ใครกล้านั่งเก้าอี้ไม้ตัวโปรดของข้า มันผู้นั้นจะพบจุดจบอย่างทรมาน”  หลังจากนั้น ทุกคนที่นั่งลงบนเก้าอี้ล้วนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาไม่นาน

 มีเรื่องเล่าว่าช่างกวาดปล่องไฟคนหนึ่ง ได้รับคำท้าทายให้มานั่งเก้าอี้ตัวนี้ และเช้าวันรุ่งขึ้ เขาก็แขวนคอตายอยู่ใกล้กับบริเวณที่บัสบีเคยถูกประหาร จนเก้าอี้ถูกส่งต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่แขวนมันไว้สูงจากพื้น เพื่อไม่ให้ใครสัมผัสอีก ในสายตาคนทั่วไป มันคือเฟอร์นิเจอร์เก่า แต่สำหรับบางคน มันคือเครื่องเตือนใจว่า คำพูดสุดท้ายของมนุษย์ อาจหนักแน่นกว่าคำสาปใด ๆ บนโลกใบนี้

The Dybbuk Box: กล่องไม้สะกดปีศาจ

The Dybbuk Box เป็นกล่องใส่ไวน์เก่า ๆ ที่ร่ำลือกันว่า มันบรรจุวิญญาณร้ายตามความเชื่อของชาวยิว โดยคำว่า ‘Dybbuk’ หมายถึง วิญญาณเร่ร่อนของผู้ตายที่ยังไม่ละจากโลกมนุษย์ หรือ ‘สัมภเวสี’ ตามความเชื่อของคนไทย ตำนานเล่าว่า วิญญาณร้ายสามารถสิงวัตถุต่าง ๆ ได้ เช่นเดียวกับกล่อง Dybbuk ที่โด่งดังที่สุดบนเว็บไซต์ eBay ในปี 2003 เมื่อชายคนหนึ่งประกาศขาย กล่องใส่ไวน์ พร้อมคำเตือนว่า “อย่าเปิดมันเด็ดขาด” ผู้ที่ซื้อไปต่างรายงานถึงเหตุการณ์ประหลาด อย่างฝันร้ายถึงหญิงชราหน้าตาน่ากลัว กลิ่นซากศพคละคลุ้ง เสียงกระซิบยามค่ำคืน และเจ็บป่วยอย่างหนักโดยไม่มีสาเหตุ

ผู้ที่เคยครอบครองต่างก็รีบส่งต่อหรือพยายามทำลายมันด้วยวิธีการต่าง ๆ เพราะเชื่อว่าการเปิดมันออกจะปลดปล่อยวิญญาณชั่วร้ายออกมาสู่โลกใบนี้ ปัจจุบัน The Dybbuk Box ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์อาถรรพ์ของ Zak Bagans ในลาสเวกัส ซึ่งมีรายงานว่าผู้มาเยี่ยมหลายคนถึงขั้นเป็นลมเมื่อเข้าใกล้กล่องไวน์อาถรรพ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือกลไกทางจิตวิทยา The Dybbuk Box ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “คำสาปยุคดิจิทัล” ที่กำเนิดจากเรื่องเล่าออนไลน์ แต่กลับทำให้คนทั่วโลกกลัวของที่พวกเขาไม่เคยเห็นด้วยตา

The Crying Boy: คำสาปสีเพลิงของภาพวาดเด็กชายร้องไห้  

หนึ่งในตำนานUrban Cult ที่โด่งดังและน่าขนลุกที่สุดเรื่องหนึ่งในสหราชอาณาจักรช่วงทศวรรษ 1980 ที่ความตื่นตระหนกแผ่ขยายไปทั่วประเทศ เรื่องราวของ The Crying Boy ภาพวาดต้องสาปที่นำพาอัคคีภัยมาสู่บ้านเรือน ภาพวาดชุดนี้เป็นผลงานของจิตรกรชาวอิตาลีชื่อ บรูโน อามาดิโอ (Bruno Amadio) หรือนามแฝง โจวานนี บราโกลิน (Giovanni Bragolin) เขาได้วาดชุดภาพเหมือนของเด็กชายและเด็กหญิงที่กำลังร้องไห้ หรือทำหน้าเศร้าสร้อย เขาวาดภาพเหล่านี้ขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 และนำไปพิมพ์เป็นภาพสำเนา (Mass-Produced Prints) จำนวนมหาศาล ก่อนจะนำไปจำหน่ายทั่วยุโรป โดยเฉพาะในอังกฤษช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1980 ซึ่งภาพพิมพ์เหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างมาก

ตำนานอาถรรพ์ของภาพชุดนี้ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมในอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1985 หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ยักษ์ใหญ่อย่าง The Sun พาดหัวข่าวอันน่าตกตะลึงว่า “คำสาปเพลิงของเด็กชายร้องไห้” (The Blazing Curse of the Crying Boy) เล่าเรื่องราวของสามีภรรยาที่บ้านถูกไฟไหม้จนทุกสิ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน ยกเว้นภาพพิมพ์ The Crying Boy ที่ยังคงแขวนอยู่บนผนังในสภาพเดิม นักดับเพลิงอ้างว่า เขาเคยเห็นเหตุการณ์ไฟไหม้หลายแห่งทั่วอังกฤษ บ้านเรือนเสียหายหมดสิ้นเว้นแต่ภาพเด็กชายร้องไห้ที่รอดจากเปลวเพลิงได้อย่างน่าอัศจรรย์

ความตื่นตระหนกแพร่กระจายไปทั่วจนผู้คนหวาดกลัวภาพชุดนี้จริงจัง บรรณาธิการของ The Sun จึงจัดแคมเปญให้ผู้อ่านส่งภาพพิมพ์ The Crying Boy กลับมาที่สำนักงาน และในวันฮาโลวีน ปี ค.ศ. 1985 หนังสือพิมพ์ได้จัดพิธีเผาภาพวาดหมู่ครั้งใหญ่ โดยมีภาพพิมพ์กว่า 2,500 ชิ้น ถูกเผาทำลายเพื่อกำจัดคำสาปให้หมดไป จนถึงปัจจุบันก็ไม่มีคำอธิบายว่า เพราะเหตุใดภาพวาดชุดนี้จึงกลายเป็นศิลปะต้องสาป ที่นำพาเปลวเพลิงหายนะมาสู่ชีวิตของผู้คน

ท่ามกลางสิ่งของต่าง ๆ ที่เราพบเจอในแต่ละวัน ไม่แน่ว่า อาจมีสิ่งของต้องคำสาป ตุ๊กตาผีสิง หรือสิ่งของที่เจ้าของเดิมยังคงหวงแหน แม้จะลาจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม พวกมันกลายเป็นสัญลักษณ์ทางความเชื่อในเรื่องราวลี้ลับที่บางครั้งอาจยากจะหาวิทยาศาสตร์และตรรกะใด ๆ มาลบล้างความเชื่อเหล่านั้น แต่มันก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ ‘ครีปปี้พาสต้า’ (Creepypasta) หรือ ‘ตำนานเมือง’ (Urban Legend) ยังคงดำเนินต่อไป…ไม่ใช่หรือ?

กดติดตามเราได้ที่

website       :  www.fyibangkok.com

facebook     : https://www.facebook.com/fyibangkok

instagram    : https://www.instagram.com/fyibangkok

twitter         : https://twitter.com/fyibangkok

youtube       : https://www.youtube.com/channel/UChhOQmckv2fqgkXJZ-Q1nCA

ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ถึงกองบรรณาธิการ : pr.fyibangkok@gmail.com 
โทรศัพท์ 096 449 9516

รัสรินทร์ สุนทรกมลรัศมิ์